4 สิ่ง ควรเตรียม รับมือเศรษฐกิจตกต่ำ
1. เงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน
2. จดบันทึกรายได้-ค่าใช้จ่าย
3. บริหารหนี้ให้ดี
4. จัดพอร์ตการออมและการลงทุน
เงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน
ใครหลายคนอาจมองว่าเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินไม่สำคัญ แต่รู้ไหมค่ะว่ามีคนจำนวนมากที่ใช้แบบเดือนชนเดือน เมื่อเจอภาวะวิฤกติ ตกงาน รายได้ลด ก็แทบจะไม่มีเงินใช้จ่ายเลย จะรอพึงแต่รัฐบาลก็คงไม่ได้ ดีที่สุดคือพึงตัวเราเอง ดังนั้นเราจึงควรมีเงินสำรองไว้เสมอ โดยในภาวะปกติควรมี เงินสำรองไว้ 3-6 เดือนของค่าใช้จ่ายต่อเดือน เผื่อตกงาน หรือป่วยไข้ จนขาดรายได้ไปช่วงหนึ่ง
ในช่วงเวลาที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ อย่างช่วงนี้ที่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธ์ใหม่(โควิด-19) เราจะเห็นว่าคนมากมายที่ได้รับผลกระทบ ทั้งตกงาน ทั้งต้องเก็บตัวอยู่บ้าน ห้างสรรพสินค้า ร้านค้ามากมายก็ปิด แล้วเราจะใช้ชีวิตอย่างไรหากไม่มีเงินเก็บ และไม่รู้จะตกงานอีกนานแค่ไหน ดังนั้นแล้วในภาวะแบบเราควรที่จะมีเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินมากขึ้นเป็น 6-12 เดือน เพื่อให้เราอยู่รอดในภาวะวิกฤติ
แล้วจะเก็บเงินก้อนนี้ไว้ที่ไหนดี?? ด้วยเงินก้อนนี้มีโอกาสที่จะต้องเอาออกมาใช้ได้ทุกเมื่อ ดังนั้นก็ควรเก็บในที่ที่มีสภาพคล่องสูงอย่าง บัญชีออมทรัพย์ แต่ถ้าจะเป็น บัญชีออมทรัพย์ทั่วๆไป อัตราดอกเบี้ยก็ต่ำเหลือเกิน ดังนั้นจึงขอแนะนำทางเลือกเพิ่มเติม ก็คือ
เงินฝากออมทรัพย์มีแต่ได้ ที่ให้ ดอกเบี้ยสูงกว่า
ออมทรัพย์ทั่วไป หรืออีกทางเลือกที่เป็น
กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น กองทุนรวมตลาดเงิน เช่น
KFCASH-A เน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 มีระยะเวลาในการขายคืน 1 วันทำการ
จดบันทึกรายได้ – ค่าใช้จ่าย
การจดบันทึกบันทึกรายได้ ค่าใช้จ่ายนั้นเป็นสิ่งสำคัญเมื่อเราต้องการบริหารเงินให้มีเงินเก็บ หรือกำลังมีปัญหาทางการเงิน โดยเฉพาะในช่วงที่มีวิกฤติทางการเงินแบบนี้ การบริหารเงินที่ดี ก็เริ่มจากการมีรายได้ มากกว่าค่าใช้จ่ายก่อน แต่เราจะไม่สามารถรู้ได้เลยว่ามีรายได้มากหรือน้อยกว่าค่าใช้จ่ายได้ก็ต่อเมื่อมีการจดบันทึก
สามารถแบ่งรายได้และค่าใช้จ่ายเป็นประเภท ดังนี้
รายได้ แบ่งเป็น 2 ประเภท ดังนี้
- รายได้หลัก มาจากเงินเดือน หรือกิจการที่ทำอยู่เป็นปกติ
- รายได้เสริม เป็นรายได้อื่นๆ ที่ไม่ได้มาจากรายได้ประจำ เช่น รายได้จากอาชีพเสริม รายได้จากการลงทุน
ค่าใช้จ่าย มี 2 ประเภท คือ
- ค่าใช้จ่ายจำเป็น เป็นค่าใช้จ่ายที่ขาดไม่ได้มีความจำเป็นต่อการดำเนินชีวิตให้เป็นปกติ เช่น ค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไป ค่าอาหาร ค่าเดินทางเพื่อไปทำงาน
- ค่าใช้จ่ายไม่จำเป็น ในชีวิตของเรามีค่าใช้จ่ายส่วนนี้ค่อนข้างเยอะ ซึ่งค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ในการดำรงค์ชีวิตมากนัก แต่เป็นส่วนที่ทำให้เติมเต็มความสุข ความสะดวกสบายในชีวิตมากขึ้น เช่น ของฟุ่มเฟือยที่ซื้อไว้ก่อนจะได้ใช้รึเปล่ายังไม่รู้ ค่าใช้จ่ายที่จ่ายไปกับค่าบริการต่างๆ อย่าง ทีวีออนไลน์ที่ต้องจ่ายค่าบริการรายเดือน สติกเกอร์บนแอปพลิเคชั่นที่ต้องเสียเงิน
ในยามวิกฤติเช่นนี้ เมื่อทางเลือกมีไม่มากนัก รายได้ก็ลดลง สิ่งที่ง่ายที่สุดก็คือการสำรวจรายได้และค่าใช้จ่ายของตนเอง แล้วปรับลดการใช้จ่ายในส่วนที่ไม่จำเป็นลง รวมถึงพยามยามหารายได้เสริมทางอื่นเพิ่ม หากเมื่อลงทำบันทึก รายรับ ค่าใช้จ่าย ยังคงออกมาติดลบ
บริหารหนี้ให้ดี
ในภาวะวิกฤตแบบนี้ “การไม่มีหนี้เป็นลาภอันประเสริฐ” แต่ถ้ามีหนี้แล้ว ก็ต้องบริหารจัดการให้ดี เพื่อไม่ให้เป็นภาระที่หนักยากเกินจะแก้ไขในอนาคต โดยเริ่มจากแบ่งประเภทหนี้ดังนี้
- ผ่อนบ้าน ไม่ควรมีค่าใช้จ่ายในการผ่อนบ้านต่อเดือน เกิน 30 % ของรายได้ แต่ถ้าไม่มีภาระหนี้สินอื่นๆเลย ก็ได้ถึง 50% เพราะถ้ายิ่งผ่อนมาก หนี้ก็จะจบเร็วขึ้นตามไปด้วย
- หนี้ผ่อนรถ จำนวนเงินที่ใช้ผ่อนรถไม่ควรเกิน 15-20 % ของรายได้ต่อเดือน หากมากกว่านี้อาจจะหนักจนเกินไป
- หนี้บัตรเครดิต ยอดเรียกเก็บทีหลังที่สำคัญยอดชำระหนี้ ไม่ควรให้เกิน 10 -20 % ของรายได้ต่อเดือน
ในยามปกติแล้ว แล้วก็ไม่ควรมีหนี้ที่ต้องผ่อนชำระเกิน 50% ของรายได้ต่อเดือน เพื่อไม่ให้เงินตึงตัวจนเกินไป เพราะถ้าผ่อนไม่ไหวไหวเมื่อไหร่อาจจะทำให้ต้องมีการกู้หนี้ยืมสิน หรือหมุนเงินจากการกู้หลายๆทางเพื่อมาผ่อนชำระ
แล้วในยามไม่ปกติหล่ะ? อย่างช่วงภาวะวิกฤติจากไวรัสโควิด-19 ทำให้รายได้ลดลง ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันตัวเองจากปัญหาหนี้ทับถม ก็ไม่ควรมีภาระหนี้ที่ต้องผ่อนชำระเกิน 30-40% ของรายได้ เพื่อไม่ให้มีภาระที่หนักจนเกินไป
แต่ถ้าช่วงนี้ผ่อนไม่ไหวจริงๆ ลองโทรปรึกษากับเจ้าหนี้ได้นะคะ ในส่วนของสถาบันการเงิน ก็มี
โครงการช่วยหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19
จัดพอร์ตการออมและการลงทุน
ในวิกฤติย่อมมีโอกาสเสมอ อย่าลืม!! เรื่องของการออมและการลงทุนด้วยนะคะ ถ้าเราลองย้อนไปในวิกฤติ เศรษฐกิจอย่างตอนช่วง ซับไพร์มที่เกิดขึ้นในอเมริกา ในช่วงปี 2551 ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวจาก 800 จุด เหลือ 400 จุด ซึ่งคิดเป็น 50% แล้วหลังจกนั้นเพียง 2 ปี ตลาดหุ้นหุ้นไทยปรับตัวขึ้นไป ถึง 1000 จุด เห็นมัยค่ะว่าถ้าเราไม่ลงทุนเลยจะพลาดโอกาสดีๆได้ แต่การลงทุนก็มีความเสี่ยง ต้องศึกษาให้ดีเสียก่อนจะเข้าลงทุน
ดังนั้นแล้วก่อนที่จะออมหรือลงทุนก็ต้องก็มีความรู้ในเรื่องนั้นซะก่อน และก็ตั้งเป้าหมายรวมถึงระยะเวลาตั้งใจไว้เพื่อให้สามารถกำหนดสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะสมตามระยะเวลา โดยแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว
การกระจายการออมและการลงทุนไปหลายตระกร้า หากเกิดวิฤตเศรษฐกิจ ตะกร้าที่ 1 จะได้รับผลกระทบน้อยที่สุด ต่อมาจะเป็นตะกร้า 2 และตระกร้าจะได้รับผลกระทบมากที่สุด แต่ตระกร้า 3 เป็นการลงทุนระยะยาวที่มีโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีขึ้นหลังวิกฤตจบ
ผลิตภัณฑ์แนะนำ
เงินฝาก (Deposit)
เงินฝากออมทรัพย์มีแต่ได้ ดอกเบี้ยสูง* เบิกถอนได้**
ดอกเบี้ยสูง
ฝากขั้นต่ำเพียง 500 บาท
รับดอกเบี้ยทุกเดือน
สามารถเปิดบัญชี
เงินฝากออมทรัพย์ มีแต่ได้ ออนไลน์ ได้แล้วที่ KMA ทั้งระบบปฎิบัตืการ IOS และ Android
*อัตราดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมและเงื่อนไขเป็นไปตามประกาศธนาคาร
** ออมทรัพย์มีแต่ได้ เบิกถอน 2 ครั้งแรกในแต่ละเดือนไม่เสียค่าธรรมเนียม เบิกถอนตั้งแต่ครั้งที่3 เสียค่าธรรมเนียมครั้งละ 50 บาท
กองทุนแนะนำ
| กองทุนรวม |
นโยบายกองทุน |
นโยบายจ่ายปันผล |
ระดับความเสี่ยง |
| KFCASH-A |
ลงทุนในตราสารแห่งหนี้ภาครัฐไม่น้อยกว่า 70% ของ NAV ส่วนที่เหลือลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชน สถาบันการเงิน หรือเงินฝากธนาคาร |
ไม่มี |
1
ต่ำ |
| KFAFIX-A |
เน้นลงทุนในประเทศ และ/หรือ ต่างประเทศ ในตราสารหนี้ และ/หรือ เงินฝาก หรือตราสารเทียบเท่าเงินฝากที่ออก รับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกันการจ่ายเงิน โดยภาครัฐบาล รัฐวิสาหกิจ สถาบันการเงิน และ/หรือ ภาคเอกชน ซึ่งมีอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหรือของผู้ออกตราสารอยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ และอาจลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าอันดับที่สามารถลงทุนได้ หรือที่ไม่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ทั้งนี้ อายุเฉลี่ยตราสารที่กองทุนลงทุนอยู่ระหว่าง 0 – 5 ปี |
ไม่มี |
4
ปานกลาง
ค่อนข้างต่ำ |
| KFHAPPY-A |
ลงทุนในเงินฝาก ตราสารหนี้ภาครัฐและเอกชนทั้งในและต่างประเทศ 75-100% ของ NAV และอาจลงทุนในหุ้น หรือกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ REITs กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน 0-25% ของ NAV |
ไม่มี |
5
ปานกลาง
ค่อนข้างสูง |
| KF-SINCOME |
ลงทุนในตราสารหนี้ทั่วโลก ผ่านกองทุนรวมต่างประเทศ PIMCO GIS Income Fund เฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV |
ไม่มี |
5
ปานกลาง
ค่อนข้างสูง |
| KFGBRAND-A |
ลงทุนในหุ้นบริษัทที่พัฒนาแล้วทั่วโลกที่ประสบความสำเร็จ/มีชื่อเสียงใน Brand เช่น เครื่องหมายการค้า เจ้าของลิขสิทธิ์สินค้า หรือกลวิธีจัดจำหน่าย ผ่านกองทุนรวมต่างประเทศ Morgan Stanley Investment Fund
- Global Brands Fund เฉลี่ยรอบบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV |
ไม่มี |
6
สูง |
PRINCIPAL
iPROP |
ลงทุนในหลักทรัพย์หรือตราสารในหมวดอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ ทั้งในและต่างประเทศ เช่น หน่วยลงทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และ/หรือ กองทรัสต์ เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ("REITs") หรือ ตราสารทางการเงินอื่นใดที่ให้ผลตอบแทนเชื่อมโยงกับอสังหาริมทรัพย์ ไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV |
ไม่มี |
8
สูงมาก |
คำเตือน
- ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
- KFAFIX-A, KFHAPPY-A และ KF-SINCOME อาจลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าอันดับที่สามารถลงทุนได้ (Non-investment grade) หรือที่ไม่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Unrated Bond) ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ของผู้ออกตราสาร ซึ่งส่งผลให้ผู้ลงทุนขาดทุนจากการลงทุนบางส่วน หรือทั้งจำนวนได้ และในการขายคืนหน่วยลงทุนอาจไม่ได้รับเงินคืนตามที่ระบุไว้ในโครงการ
- KFGBRAND-A, PRINCIPAL iPROP อาจทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินในหลักทรัพย์สกุลเงินตราต่างประเทศที่กองทุนถืออยู่ โดยขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของบริษัทจัดการ ซึ่งอาจมีต้นทุนสำหรับการทำธุรกรรมฯ โดยทำให้ผลตอบแทนของกองทุนโดยรวมลดลงจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น และในกรณีที่ไม่ได้ทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนเงิน ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเงิน หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ ทั้งนี้ โดยปกติ KFGRBAND จะป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยร้อยละ 90 ของมูลค่าเงินลงทุนในต่างประเทศ
- KFGBRAND-A เป็นกองทุนที่ลงทุนกระจุกตัวในประเทศ หรือกลุ่มประเทศที่กองทุนลงทุน ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย
- PRINCIPAL iPROP ลงทุนกระจุกตัวในกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ จึงอาจมีความเสี่ยงและความผันผวนของราคาสูงกว่ากองทุนรวมทั่วไปที่มีการกระจายการลงทุนในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม โดยหากมีปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนดังกล่าว ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมก่อนทำการลงทุน
- สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือติดต่อขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่สาขาธนาคารกรุงศรีอยุธยา
- ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จํากัด (มหาชน) ในฐานะตัวแทนจำหน่ายหน่วยลงทุนให้กับ บลจ.กรุงศรี และ บลจ.พรินซิเพิล เท่านั้น