บทวิเคราะห์เศรษฐกิจประจำสัปดาห์

บทวิเคราะห์ธุรกิจและอุตสาหกรรม

ภาวะเศรษฐกิจและการเงินประจำสัปดาห์ 1 กันยายน 2563

01 กันยายน 2563

เศรษฐกิจโลก

คาดเฟดคงดอกเบี้ยต่ำอีกหลายปี ด้านยูโรโซนเพิ่มการเยียวยาลูกจ้าง ขณะที่ความเสี่ยงภาคการเงินในจีนเพิ่มสูงขึ้น

เฟดปรับกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ พร้อมดูแลการจ้างงานให้ครอบคลุมทั่วถึง สะท้อนการคงดอกเบี้ยเข้าใกล้ศูนย์ต่อไปอีกระยะ การประชุมประจำปีของธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) ณ เมืองแจ็กสัน โฮล นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดระบุว่าเฟดจะปรับแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินโดย (i) การใช้เป้าหมายเงินเฟ้อเฉลี่ยเพื่ออนุโลมให้อัตราเงินเฟ้อสามารถขยับขึ้นเหนือระดับ 2% แทนการกำหนดเป้าหมายตายตัวที่ 2% และ (ii) การปรับเป้าหมายการจ้างงานให้ครอบคลุมกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มคนด้อยโอกาส

วิจัยกรุงศรีประเมินการปรับนโยบายการเงินให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นดังกล่าวสะท้อนว่า (i) การใช้เป้าหมายเงินเฟ้อเฉลี่ยจะช่วยให้เฟดสามารถคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำได้เป็นเวลานานกว่าที่คาดไว้เดิมในปี 2565 (ii) การปรับเป้า หมายจากการจ้างงานสูงสุดมาเป็นการจัดหางานให้คนทุกกลุ่ม แสดงถึงผลจากการระบาดของโรค COVID-19 ที่สร้างปัญหาในด้านการกระจายตัวของการจ้างงาน  และ (iii) เฟดมีแนวโน้มไม่ใช้อัตราดอกเบี้ยติดลบที่อาจส่งผลลบมากกว่าช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ข้อมูลล่าสุดบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯยังเผชิญความไม่แน่นอนทั้งจากจำนวนผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 22 สิงหาคมทำสถิติสูงกว่า 1 ล้านรายติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 2 ส่วนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่องยังมีจำนวนสูงเกิน 14 ล้านราย ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเดือนสิงหาคมร่วงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ปัจจัยเหล่านี้อาจหนุนให้เฟดออกมาตรการเพิ่มเติมในการประชุมครั้งต่อไปในเดือนกันยายนนี้

Fed-1.jpg

ยุโรปเตรียมออกมาตรการเยียวยาลูกจ้างเพิ่มเติมเพื่อป้องกันการว่างงานพุ่งจาก Cliff Effect คณะกรรมาธิการยุโรปได้เสนอต่อคณะมนตรียุโรปให้อนุมัติเงินช่วยเหลือมูลค่า  8.1 หมื่นล้านยูโร ภายใต้มาตรการบรรเทาผลกระทบต่อการว่างงาน (Support to Mitigate Unemployment Risks Program: SURE) แก่ประเทศสมาชิกโดยจัดสรรผ่านเงินกู้ ซึ่งอิตาลีและสเปนจะได้ในสัดส่วนมากสุด นอกจากนี้ บางประเทศสมาชิกที่มีมาตรการเยียวยาลูกจ้างที่ถูกพักงานหรือถูกเลิกจ้างแล้ว แต่ระยะเวลาของมาตรการกำลังจะสิ้นสุดลงนั้น ได้ตัดสินใจขยายเวลาเพิ่มเติม อาทิ เยอรมนีขยายเวลาไปจนถึงสิ้นปี 2564 (เดิมปี 2563) พร้อมเพิ่มวงเงินอีกประมาณ 1 หมื่นล้านยูโร สเปนกำลังพิจารณาขยายเวลาที่จะสิ้นสุดลงในวันที่ 30 กันยายนนี้ออกไป แต่อาจจำกัดความช่วยเหลือไว้เพียงภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว

อัตราการว่างงานของกลุ่มยูโรโซนเดือนมิถุนายนแตะระดับ  7.8% เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 หากไม่มีมาตรการเยียวยาลูกจ้างแล้วตัวเลขดังกล่าวจะเพิ่มสูงกว่านี้มาก ขณะที่ยังมีความแตกต่างในการขยายมาตรการเยียวยาในประเทศสมาชิก โดยเยอรมนียังจะจ่ายเงินชดเชยในอัตราเท่าเดิมต่อไป ส่วนสเปนอาจต้องลดการจ่ายชดเชยและจำกัดเพียงภาคการท่องเที่ยวเนื่องจากข้อจำกัดด้านภาระงบประมาณ อย่างไรก็ดี หากปราศจากมาตรการเหล่านี้ย่อมส่งผลให้ภาวะการว่างงานพุ่งขึ้นฉับพลัน (Cliff effect) ขณะที่ลูกจ้างที่ไม่ได้รับความช่วยเหลือหรือได้รับต่ำกว่าเดิมจะขาดรายได้และกำลังซื้อ กระทบการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยุโรป โดยเฉพาะกลุ่มยุโรปใต้ที่มีปัญหาด้านการคลัง

Eurozone.jpg

แม้เศรษฐกิจจีนฟื้นตัว แต่ในระยะต่อไปอาจถูกบั่นทอนจากปัจจัยเสี่ยงหลายๆ ด้าน กำไรของบริษัทภาคอุตสาหกรรมเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้น 19.6% YoY ปรับดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องจักรกล และสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง สะท้อนแรงส่งจากการฟื้นตัวของการผลิตในห่วงโซ่อุปทาน รวมถึงการขยายการลงทุนภาครัฐและการเติบโตของการส่งออก

แม้ภาคอุตสาหกรรมปรับดีขึ้นต่อเนื่องแต่ยังกระจุกตัวเฉพาะการผลิตเพื่อการส่งออกและเพื่อสนับสนุนการลงทุนภาครัฐ นอกจากนี้ ยังเริ่มพบสัญญาณตึงตัวในภาคการเงิน อาทิ อัตราดอกเบี้ยสัญญาสวอประยะ 1 ปีพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 7 เดือน รวมทั้งยอดตราสารที่ผิดนัดชำระหนี้อาจมากถึง 1.2 แสนล้านหยวนในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งจะกดดันภาวะอัตราดอกเบี้ยและต้นทุนการกู้ยืมให้สูงขึ้น ขณะที่ความขัดแย้งกับสหรัฐฯรุนแรงขึ้นต่อเนื่องหลังจากจีนทดสอบขีปนาวุธในทะเลจีนใต้ จึงยังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม

China.jpg

เศรษฐกิจไทย

ภาคส่งออกและภาคท่องเที่ยวยังอ่อนแอแม้กระเตื้องขึ้นบ้าง ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่ยังมีอยู่มาก

แม้การส่งออกเดือนกรกฎาคมออกจากจุดต่ำสุด แต่ยังติดลบอยู่ในอัตราเลขสองหลัก คาดทั้งปียังมีความเสี่ยงติดลบ 10.5% มูลค่าส่งออกเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ 18.8 พันล้านดอลลาร์  หดตัว -11.4%YoY (จาก -23.2% ในเดือนมิถุนายน) แต่ถ้าหักการส่งออกทองคำ มูลค่าส่งออกหดตัวมากขึ้นเป็น -14.3% โดยสินค้าส่งออกสำคัญที่ยังหดตัวแรงต่อเนื่อง อาทิ ยานพาหนะ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (-25.2%) ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน (-24.9%) เครื่องรับวิทยุ โทรทัศน์และส่วนประกอบ (-23.3%) เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ (-22.6%) อย่างไรก็ตาม อานิสงส์จากนโยบายการทำงานที่บ้านและการรักษาระยะห่างทางสังคมช่วยหนุนให้ความต้องการสินค้าส่งออกบางประเภทมีการขยายตัว เช่น  น้ำมันปาล์ม (+194.0%) ทูน่ากระป๋อง (+18.0%) และอาหารสัตว์เลี้ยง (+14.5%) เป็นต้น ด้านตลาดส่งออกพบว่าการส่งออกไปยังตลาดหลักส่วนใหญ่ยังคงหดตัวมีเพียงตลาดสหรัฐฯ ที่เติบโตต่อเนื่องจากเดือนก่อน (ดังตาราง)

Export-3.jpg

แม้การส่งออกในเดือนกรกฎาคมจะเริ่มออกจากจุดต่ำสุด แต่วิจัยกรุงศรีประเมินการส่งออกในช่วงที่เหลือของปีนี้ยังคงมีแนวโน้มอ่อนแอสะท้อนจาก (i) การนำเข้าวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลางที่หดตัวแรง (-24.1%) ซึ่งส่วนหนึ่งใช้ในการผลิตเพื่อส่งออก (ii) กำลังซื้อทั่วโลกอ่อนแอลงเนื่องจากการว่างงานที่เพิ่ม ขึ้นและภาระหนี้ในระดับสูง และ (iii) การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอนสูง เนื่องจากการสิ้นสุดของมาตรการเยียวยาผู้ว่างงานในประเทศพัฒนาแล้วหลายแห่ง ขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อ COVID-19 รายใหม่ทั่วโลกยังมีทิศทางเพิ่มขึ้นและมีการกลับมาระบาดระลอกสองในหลายประเทศ ภาคส่งออกของไทยในปีนี้ยังมีความเสี่ยงอยู่ วิจัยกรุงศรีจึงยังคงคาดการณ์ไว้ว่าจะหดตัวที่ -10.5% ย่ำแย่สุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินโลก

ExportMarkets-4.jpg
 

ภาครัฐเร่งดำเนินมาตรการเพิ่มเติม เตรียมแผนเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในไตรมาสสุดท้าย การประชุมคณะรัฐมนตรีล่าสุด (วันที่ 25 สิงหาคม) มีมติเห็นชอบขยายสิทธิในมาตรการเราเที่ยวด้วยกัน อาทิ ขยายสิทธิจากคนละ 5 สิทธิเป็น 10 สิทธิ และสนับสนุนค่าโดยสารเครื่องบินเพิ่มจาก 1,000 บาทต่อคน เป็น 2,000 บาทต่อคน ทั้งนี้ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวและการใช้จ่ายภายในประเทศ นอกจากนี้ ครม.ยังเห็นชอบหลักการให้จังหวัดภูเก็ตนำร่องเป็นพื้นที่รับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ภายใต้ “ภูเก็ตโมเดล” สำหรับเป็นต้นแบบในการเปิดรับกลุ่มนักท่องเที่ยวเป้าหมายก่อนที่จะขยายไปยังจังหวัดอื่นๆ ที่มีความพร้อม ขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนหารือในรายละเอียด ซึ่งทางการคาดว่าอาจเริ่มได้ในช่วงเดือนตุลาคมหรือพฤศจิกายน

ภาคท่องเที่ยวของไทยได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 โดยข้อมูลล่าสุดเดือนกรกฎาคมนับเป็นเดือนที่ 4  ที่ยังไม่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ  ขณะที่จำนวนและรายได้ของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่ท่องเที่ยวในประเทศแม้จะทยอยฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดในเดือนเมษายน 2563 แต่ยังหดตัวถึง -45.5% และ -59.8% YoY ตามลำดับ ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมาสัดส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวในประเทศคิดเป็นเพียง 35% ของรายได้ทั้งหมดจากภาคท่องเที่ยว ส่วนที่เหลืออีก 65% เป็นรายได้ที่มาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งในส่วนนี้วิจัยกรุงศรีประเมินว่าจะใช้เวลาอีกนานกว่าจะฟื้นกลับมาเท่าหรือใกล้เคียงกับก่อนเกิดการระบาด แม้ล่าสุดจะมีหลายประเทศสนใจทำ travel bubble กับไทย เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ เป็นต้น แต่ยังต้องพึงระวังการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ยังมีความเสี่ยงและความไม่แน่นอนอยู่

Tag:
ย้อนกลับ
พิมพ์สิ่งที่ต้องการค้นหา