บทวิเคราะห์เศรษฐกิจประจำสัปดาห์

บทวิเคราะห์ธุรกิจและอุตสาหกรรม

ภาวะเศรษฐกิจและการเงินประจำสัปดาห์ 9 กันยายน 2563

09 กันยายน 2563

Picture1.png

เศรษฐกิจของประเทศสำคัญเผชิญปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลให้การฟื้นตัวล่าช้า

แรงส่งทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯอาจแผ่วลง สะท้อนความจำเป็นในการออกมาตรการเยียวยาเพิ่มเติม ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อรวมภาคการผลิตและบริการเดือนสิงหาคมเพิ่มสู่ระดับ 54.7 ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ขณะที่ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคบริการของสถาบันการจัดการด้านอุปทาน (ISM) ลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน สู่ระดับ 56.9 สัญญาณดังกล่าวบ่งชี้ความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวในภาคบริการที่มีสัดส่วนสุงถึง 77.4% ของ GDP สำหรับการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 1.37 ล้านตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 สู่ระดับ 8.4% รวมทั้งค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงานปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อน 0.4% MoM อย่างไรก็ตาม จำนวนผู้ขอรับสิทธิสวัสดิการว่างงานต่อเนื่องยังคงสูงถึง 13.3 ล้านราย
วิจัยกรุงศรีประเมินทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯยังมีความไม่แน่นอน เนื่องจาก (i) การขยายตัวในภาคบริการชะลอลง ขณะที่อัตราการว่างงานล่าสุดยังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับ 3.5% ในช่วงก่อนการแพร่ระบาดของ COVID-19 และ (ii) ความล่าช้าในการออกมาตรการเยียวยารอบใหม่ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากความกังวลต่อภาระหนี้ภาครัฐที่อาจเพิ่มสูงขึ้น โดยหนี้สาธารณะต่อ GDP ใน 2Q/2563 พุ่งขึ้นแตะระดับ 105.5% ทั้งนี้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ยังอ่อนแออาจหนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ออกมาตรการทางการเงินเพิ่มเติมในการประชุมช่วงกลางเดือนกันยายนนี้

Picture2.png

เศรษฐกิจญี่ปุ่นปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย โดยยังต้องติดตามนโยบายของรัฐบาลใหม่หลังการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนกรกฎาคมขยายตัว 8.0% MoM ปรับตัวดีขึ้นเป็นเดือนที่ 2 จากการฟื้นตัวของการผลิตรถยนต์และผลิตภัณฑ์เหล็ก ส่วนอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นเล็กน้อยสู่ระดับ 2.9% โดยสัดส่วนลูกจ้างที่ถูกพักงานโดยได้รับเงินสวัสดิการชดเชยลดลงมาที่ 3.1% จากที่เคยสูงถึง 9.6% ในเดือนเมษายน สำหรับดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อรวมภาคการผลิตและภาคบริการเดือนสิงหาคมเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 สู่ระดับ 45.2

ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนการฟื้นตัวอย่างช้าๆ ของเศรษฐกิจญี่ปุ่นแม้จะยังไม่รวมผลหลังการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดระลอกที่สองแล้วก็ตาม ขณะที่ยังต้องประเมินนโยบายของนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ซึ่งมีแนวโน้มว่านายโยชิฮิเดะ สึกะ เลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น จะได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนี้  และคาดว่าการดำเนินนโยบายต่างๆ อาจมีความต่อเนื่อง ถือเป็นปัจจัยหนุนการฟื้นตัวในระยะต่อไป

Picture3.png

เศรษฐกิจจีนฟื้นต่อเนื่องด้วยแรงหนุนจากการขยายตัวของภาคบริการและก่อสร้าง ด้าน Fitch คงอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารแม้กำไรร่วง ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อรวมภาคการผลิตและนอกภาคการผลิตเดือนสิงหาคมของทางการเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 54.5 ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 จากดัชนีนอกภาคการผลิตที่ปรับดีขึ้นแตะระดับ 55.2 สูงสุดในรอบ 30 เดือน ขณะที่ดัชนีภาคการผลิตขยับลงเล็กน้อย 0.1 สู่ระดับ 51.0

การฟื้นตัวต่อเนื่องของกิจกรรมทางเศรษฐกิจนอกภาคการผลิตช่วยชดเชยการปรับตัวลงของดัชนีภาคการผลิต เป็นผลจากดัชนีภาคบริการและภาคก่อสร้างที่เพิ่มสู่ระดับสูงสุดนับจากปี 2561 โดยเฉพาะภาคก่อสร้างที่ค่าดัชนีสูงกว่า 60.0 เป็นเดือนที่ 2 จากนโยบายกระตุ้นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ด้านภาคธนาคาร ตัวเลขผลกำไรช่วงครึ่งปีแรกของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 4 แห่งลดลงจากปีก่อนประมาณ 10-12% YoY อย่างไรก็ตาม Fitch rating ยังคงอันดับความน่าเชื่อของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบที่ระดับมีเสถียรภาพ (Stable) เนื่องจากธนาคารกลางจีน (PBOC) ได้ออกมาตรการลดอัตราดอกเบี้ยและให้ความช่วยเหลือลูกหนี้โดยเลื่อนการชำระหนี้เงินกู้ ซึ่งจะช่วยให้ธนาคารพาณิชย์ของจีนสามารถป้องกันความเสี่ยงด้านการเงินได้

Picture4.png

เศรษฐกิจและเงินเฟ้อทยอยฟื้นอย่างช้าๆ ทว่ายังต้องพึ่งมาตรการภาครัฐหนุน ท่ามกลางความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น

กิจกรรมทางเศรษฐกิจเดือนกรกฎาคมทยอยฟื้นจากจุดต่ำสุด ขณะที่ทางการเตรียมอัดมาตรการพยุงเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดยการใช้จ่ายภาครัฐยังเป็นเครื่องยนต์หลักหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ การบริโภคภาคเอกชนปรับดีขึ้นต่อเนื่องโดยหดตัวเพียงเล็กน้อยที่ -0.1% YoY (จาก -4.5% เดือนมิถุนายน)  ผลจากการผ่อนคลายมาตรการปิดเมือง และปัจจัยชั่วคราวจากการมีวันหยุดยาวมากกว่าระยะเดียวกันปีก่อน (ชดเชยการเลื่อนวันหยุดสงกรานต์) กอปรกับมีมาตรการภาครัฐหนุนการใช้จ่ายและท่องเที่ยวในประเทศ ด้านมูลค่าการส่งออกเดือนกรกฎาคมหดตัวน้อยลงในเกือบทุกหมวดตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่ทยอยฟื้นตัว อย่างไรก็ตาม การลงทุนภาคเอกชนยังมีความเปราะบางสะท้อนจากเครื่องชี้การลงทุนที่หดตัวสูง อาทิ ยอดจำหน่ายเครื่องจักรในประเทศ  (-21.8%) การนำเข้าสินค้าทุน (-21.2%) และยอดจดทะเบียนยานยนต์ใหม่ (-16.7%)   ส่วนจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติยังคงเป็นศูนย์ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 จากมาตรการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศ

Picture5-(1).png

แม้เศรษฐกิจต้นไตรมาส 3/2563 จะกระเตื้องขึ้นจากจุดต่ำสุด  แต่การฟื้นตัวในระยะข้างหน้ายังมีความเสี่ยงจากการกลับมาระบาดระลอกสองของโรค COVID-19 ทั้งในไทยและต่างประเทศ รวมถึงความไม่แน่นอนของเสถียรภาพทางการเมืองในประเทศ นอกจากนี้ การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติซึ่งคาดว่าอาจใช้เวลานานกว่าจะกลับสู่ภาวะปกติ การขับเคลื่อนเศรษฐกิจจากปัจจัยภายในประเทศจึงนับว่ามีความจำเป็น ล่าสุดทางการเตรียมออกมาตรการกระตุ้นการบริโภคภายใต้โครงการ “คนละครึ่ง”  วงเงิน 45,000 ล้านบาท โดยช่วยค่าใช้จ่าย 50% คนละ 3,000 บาท จำนวน 15 ล้านคน  และมาตรการจ้างงานสำหรับนักศึกษาจบใหม่ วงเงินสนับสนุน 23,476 ล้านบาท โดยรัฐบาลช่วยจ่ายเงินเดือนให้ 50% สูงสุดไม่เกิน 7,500 บาทต่อราย เป็นเวลา 1 ปี

Picture6.png

อัตราเงินเฟ้อเดือนสิงหาคมติดลบน้อยลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ขณะที่ธปท.เสริมมาตรการอื่นๆ ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มเติม อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนสิงหาคมอยู่ที่ -0.50% YoY เทียบกับ -0.98% เดือนก่อน ผลจากราคาสินค้าในหมวดอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์เพิ่มสูงขึ้น (+1.62%) ตามการเพิ่มขึ้นของราคาอาหารสด โดยเฉพาะราคาผักสดที่สูงสุดในรอบ 13 เดือน จากฝนตกชุก ขณะที่ราคาสินค้าในหมวดอื่นๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มยังติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 (-1.73%) จากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ลดลงตามราคาน้ำมันในตลาดโลก ด้านอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (หักราคาหมวดอาหารสดและพลังงาน) อยู่ที่ 0.30% เทียบกับ 0.39% ในเดือนกรกฎาคม สำหรับในช่วง 8 เดือนแรกของปี (มกราคม-สิงหาคม) อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ -1.03% และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 0.33%

Picture7.png

อัตราเงินเฟ้อทั่วไปทยอยติดลบน้อยลงส่งสัญญาณเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างช้าๆ อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ทรงตัวในระดับต่ำสะท้อนอุปสงค์ภายในประเทศยังคงอ่อนแอ อีกทั้งปัจจัยลบจากตลาดแรงงานยังมีความเปราะบางอาจกดดันกำลังซื้อและการใช้จ่ายภายในประเทศในระยะถัดไป

ด้านมุมมองดอกเบี้ยนโยบาย การประชุมกนง. ครั้งล่าสุดระบุว่าระดับสภาพคล่องโดยรวมในระบบการเงินยังคงเพียงพอ การใช้มาตรการกระตุ้นทางการเงินในวงกว้างรวมถึงการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายมีความจำเป็นน้อยลง แต่พร้อมที่จะใช้เครื่องมือทางนโยบายด้านอื่นๆ ที่ไม่ใช่อัตราดอกเบี้ย ซึ่งปลายเดือนสิงหาคม ธปท. ได้ออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยเพิ่มเติมด้วยวิธีการรวมหนี้ (debt consolidation) เพื่อช่วยลดภาระด้านดอกเบี้ยแก่ลูกหนี้ อย่างไรก็ตาม จากการวิเคราะห์ของวิจัยกรุงศรีพบว่าการให้สินเชื่อแก่กลุ่มเป้าหมายที่ประสบปัญหาและขาดหลักทรัพย์ค้ำประกัน หรือการให้ targeted direct loans น่าจะเป็นทางเลือกหนึ่งที่ช่วยบรรเทาปัญหาการขาดสภาพคล่องได้มากกว่าเครื่องมืออื่นๆ เช่น การลดดอกเบี้ย การพักหนี้ การลดภาษี และการผ่อนคลายเกณฑ์การกู้ยืม เป็นต้น

Picture8.png

 

Tag:
ย้อนกลับ
พิมพ์สิ่งที่ต้องการค้นหา