
ความเปราะบางทางเศรษฐกิจในประเทศหลัก ยังเป็นปัจจัยกดดันการฟื้นตัวในระยะต่อไป
ตลาดแรงงานสหรัฐฯเผชิญปัญหาการว่างงานถาวรเพิ่มขึ้น ขณะที่มีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับมาตรการเยียวยารอบใหม่ อัตราการเปิดรับสมัครงานในเดือนกรกฏาคมเพิ่มสู่ระดับ 4.5% สูงสุดนับแต่เดือนตุลาคม 2562 ขณะที่จำนวนผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 5 กันยายนเท่ากับ 8.84 แสนราย ทรงตัวจากสัปดาห์ก่อน ส่วนจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่องเพิ่มสู่ 13.4 ล้านราย สำหรับอัตราเงินเฟ้อเดือนสิงหาคมอยู่ที่ 1.3% สูงสุดในรอบ 5 เดือน
วิจัยกรุงศรีประเมินแรงส่งทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯอาจแผ่วลง แม้การว่างงานชั่วคราวจะลดลงแต่จำนวนลูกจ้างที่สูญเสียตำแหน่งงานถาวรได้เพิ่มขึ้นโดยแตะระดับ 3.4 ล้านคนซึ่งสูงสุดนับแต่ปี 2557 นอกจากนี้ยังมีความไม่แน่นอนจาก (i) ความขัดแย้งในรัฐสภาเกี่ยวกับมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจรอบใหม่ ล่าสุดวุฒิสภามีมติคัดค้านร่างมาตรการเยียวยาวงเงิน1.3 ล้านล้านดอลลาร์ที่เสนอโดยพรรครีพับลิกัน และ (ii) ปธน.ทรัมป์ต้องการลดเงินชดเชยแก่ลูกจ้างที่ถูกพักงานชั่วคราวลงจาก 600 เหลือเพียง 300 ดอลลาร์ต่อสัปดาห์ ซึ่งอาจมีผลลบต่อรายได้ การใช้จ่าย รวมถึงการฟื้นตัวในระยะต่อไป

ธนาคารกลางยุโรปคงทิศทางนโยบายการเงิน ท่ามกลางความเสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้น ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยรวมทั้งแผนการเข้าซื้อสินทรัพย์ทางการเงินตามโครงการ Pandemic Emergency Purchase Programme (PEPP) ที่ระดับ 1.35 ล้านล้านยูโร จนถึงเดือนมิถุนายน 2564 หรือจนกว่าวิกฤตจากการระบาดของโรค COVID-19 ผ่านพ้นไปแล้ว นอกจากนี้ ยังได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจของยูโรโซนโดยคาดว่าในปี 2563 จะหดตัว 8.0% ดีกว่าเดิมที่คาดไว้ในเดือนมิถุนายนว่าจะหดตัว 8.7% ขณะที่คงคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในปี 2563 ที่ 0.3% แต่ปรับเพิ่มในปีหน้าเป็น 1.0% จากเดิมคาด 0.8%
มุมมองต่อเศรษฐกิจของ ECB ที่ปรับดีขึ้นกว่าครั้งก่อนเล็กน้อยบ่งชี้ว่าจะยังไม่เร่งผ่อนคลายมาตรการทางการเงินในระยะอันใกล้นี้ แต่ในช่วงถัดไปยังเปิดทางสำหรับการผ่อนคลายเพิ่มเติมได้ สะท้อนจาก (i) ECB ได้ปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2564 จาก 5.2% ลงมาอยู่ที่ 5.0% (ii) การประมาณการอัตราเงินเฟ้อในช่วงปี 2563-2565 ยังห่างจากเป้าหมายที่ 2% และ (iii) ECB ได้ระบุถึงความเสี่ยงด้านลบ (Downside risk) และความไม่แน่นอนเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น (Elevated uncertainty) นอกจากนี้ ยังอาจมีประเด็นความเสี่ยงเพิ่มเติมหากสหราชอาณาจักรแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปโดยปราศจากข้อตกลง (No-deal Brexit)

การส่งออกของจีนขยับดีขึ้น ขณะที่ความขัดแย้งกับสหรัฐฯอาจกระทบศักยภาพการเติบโตในระยะยาว การส่งออกในเดือนสิงหาคมเพิ่ม 9.5% YoY ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนและขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่ขยายตัวถึง 46.1% เช่นเดียวกับหน้ากากอนามัยที่เติบโตถึง 33.4% ในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา
แม้ว่าการส่งออกของจีนจะปรับดีขึ้นต่อเนื่อง แต่ความขัดแย้งกับสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นอีก โดยล่าสุดสหรัฐฯจะพิจารณาห้ามนำเข้าผลิตภัณฑ์ฝ้ายจากมณฑลซินเจียงเพื่อต่อต้านการละเมิดสิทธิมนุษยชนชาวอุยกูร์ รวมถึงการบังคับให้บริษัทไบต์แดนซ์ของจีนขายธุรกิจแอพพลิเคชั่นวิดีโอสั้น TikTok แก่บริษัทของสหรัฐฯภายในเส้นตายกลางเดือนกันยายน นอกจากนี้ ความขัดแย้งระหว่างสองชาติในหลายเรื่องที่ผ่านมายังอาจสร้างความเสียหายแก่เศรษฐกิจจีนในระยะยาว โดยบลูมเบิร์กคาดว่าศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจ (Potential growth) ของจีนจะลดลงเหลือเพียง 3.5% ในปี 2573 หากการลงทุนและการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ ในจีนลดน้อยลง


การบริโภคภาคครัวเรือนยังอ่อนแอ ขณะที่วิจัยกรุงศรีประเมินสภาพคล่องของภาคธุรกิจในปีหน้ายังเผชิญความเสี่ยงสูง
ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนสิงหาคมแม้ปรับดีขึ้นแต่ยังอยู่ในระดับต่ำ สะท้อนความเปราะบางของการใช้จ่ายภาคครัวเรือน ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนสิงหาคมเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ที่ระดับ 51.0 จาก 50.1 เดือนกรกฎาคม ผลจากมาตรการผ่อนคลายให้ธุรกิจสามารถเปิดดำเนินการได้หลายสถานประกอบการมากขึ้น และการทยอยออกมาตรการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม วิจัยกรุงศรีประเมินแม้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนล่าสุดจะปรับดีขึ้นในทุกองค์ประกอบ แต่เมื่อเทียบกับค่าดัชนีฯในช่วงก่อนเกิดการระบาดของโรค COVID-19 แล้ว ยังถือว่าทรงตัวในระดับต่ำอยู่มาก อีกทั้งดัชนีความเชื่อมั่นฯ คาดการณ์ใน 6 เดือนข้างหน้า กระเตื้องขึ้นเพียงเล็กน้อยจาก 57.7 เดือนกรกฎาคม สู่ 58.7 เดือนสิงหาคม สะท้อนถึงแนวโน้มการใช้จ่ายภาคครัวเรือนที่ยังฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ท่ามกลางความกังวลภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้าจากปัจจัยเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่เพิ่มสูงขึ้น อาทิ การระบาดระลอกสองในประเทศ ปัญหาการว่างงาน และเสถียรภาพทางการเมืองในประเทศ ขณะที่ปัจจัยบวกจากมาตรการที่ภาครัฐจะนำมาใช้ทั้งการจ้างงาน และกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศโดยจ่ายให้คนละ 3,000 บาท จำนวน 15 ล้านคน ยังคงต้องรอความชัดเจน จึงอาจทำให้การฟื้นตัวขาดความต่อเนื่องได้ในบางช่วง

วิจัยกรุงศรีคาดจำนวนสถานประกอบการกว่า 30% อาจเผชิญปัญหาสภาพคล่องในปี 2564 จากการเปิดเผยของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)เกี่ยวกับความคืบหน้าของมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและลูกหนี้ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 โดยจากข้อมูล ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2563 มียอดการให้ความช่วยเหลือทั้งสิ้น 7.2 ล้านล้านบาท จำนวน 12.5 ล้านบัญชี แบ่งเป็น(i) ลูกหนี้ธนาคารพาณิชย์และผู้ให้บริการทางการเงินอื่นๆ ที่มิใช่สถาบันการเงิน (Non-Bank) 4.3 ล้านล้านบาท จำนวน 6.1 ล้านบัญชี และ (ii) ลูกหนี้ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ 2.9 ล้านล้านบาท จำนวน 6.4 ล้านบัญชี โดยครอบคลุมทั้งการเลื่อนพักชำระหนี้ การขยายเวลาชำระหนี้ การลดอัตราดอกเบี้ย รวมถึงการปรับโครงสร้างหนี้ ทั้งนี้ จากการประเมินสถานการณ์ล่าสุดของธปท.คาดว่าจะมีลูกหนี้ในสัดส่วนสูงที่ไม่จำเป็นต้องขอรับความช่วยเหลือต่อไปเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาที่ได้รับความช่วยเหลือ(ในเดือนตุลาคม 2563) และในระยะต่อไป ธปท.ยังคงให้ความสำคัญกับการดูแลและแก้ไขปัญหาของลูกหนี้แต่ละรายเป็นสำคัญ

แม้มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ส่วนใหญ่โดยเฉพาะมาตรการพักชำระหนี้จะสิ้นสุดลงในเดือนตุลาคมนี้ แต่ศักยภาพและความสามารถในการกลับมาชำระหนี้ของลูกหนี้นับเป็นประเด็นที่ต้องติดตาม เนื่องจากสถานการณ์จำนวนผู้ติดเชื้อ COVID-19 ที่ยังเพิ่มขึ้น การรักษาระยะห่างทางสังคมและมาตรการควบคุมการระบาดที่ยังดำเนินอยู่ได้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะภาคท่องเที่ยวและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง สำหรับเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มจะหดตัวรุนแรงในปี 2563 และอาจต้องใช้เวลามากกว่า 3 ปีที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจจะฟื้นกลับคืนสู่ระดับก่อนการระบาด ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ของประเทศจึงย่อมได้รับผลกระทบผ่านหลายช่องทางทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ล่าสุดวิจัยกรุงศรีได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลในระดับรายบริษัท พบว่าจำนวนสถานประกอบการที่มีแนวโน้มจะประสบปัญหาขาดสภาพคล่องภายในปี 2564 อาจมีจำนวนถึง 143,414 แห่ง คิดเป็น 30.3% ของจำนวนสถานประกอบการทั้งหมดในไทยรวม 473,324 แห่ง ขณะที่อีก 132,980 แห่ง (28.1% ของทั้งหมด) จะมีความเปราะบางมากหรือเสี่ยงสูงต่อการขาดสภาพคล่อง และมีเพียง 32.6% ของทั้งหมด หรือ 154,318 แห่งเท่านั้นที่ถือว่ามีความเข้มแข็งทางการเงิน
