
โออีซีดีและเอดีบีมองเศรษฐกิจโลกฟื้นช้า ขณะที่เฟดอาจคงดอกเบี้ยต่ำนานขึ้น ส่วนบีโออีเปิดทางใช้ดอกเบี้ยติดลบ
เฟดปรับกรอบการดำเนินนโยบายการเงินพร้อมส่งสัญญาณคงอัตราดอกเบี้ยต่ำต่อไปจนถึงปี 2566 ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายและส่งสัญญาณรักษาระดับเดิมต่อไปอีกอย่างน้อยสามปี ตลอดจนประกาศกรอบนโยบายการเงินใหม่โดย (i) การใช้เป้าหมายเงินเฟ้อเฉลี่ยเพื่อให้อัตราเงินเฟ้อสามารถขยับเหนือระดับ 2% ได้บางช่วง และ (ii) การปรับเป้าหมายการจ้างงานให้ครอบคลุมกลุ่มผู้มีรายได้น้อยได้อย่างทั่วถึง นอกจากนี้ ยังปรับประมาณการเศรษฐกิจในปี 2563 ใหม่โดยคาดว่าจะหดตัว -3.7% จากเดิมคาด -6.5%
วิจัยกรุงศรีมองว่าการปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจปี 2563 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากภาคการผลิตที่ขยับดีขึ้นและความต้องการซื้อสินค้าบางส่วนที่กลับมาหลังผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ แต่เครื่องชี้ล่าสุด เช่น ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อเริ่มขยับช้าลง รวมทั้งผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนสิงหาคมลดลง -7.7%YoY หดตัวเพิ่มจากเดือนก่อน ส่วนจำนวนผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 12 กันยายนเท่ากับ 8.6 แสนรายทรงตัวใกล้เคียงกับสัปดาห์ก่อน สะท้อนว่าการฟื้นตัวในระยะต่อไปอาจเผชิญความท้าทายมากขึ้น นอกจากนี้ การประมาณการในระยะสามปีข้างหน้า (ปี 2564-2666) ยังสะท้อนว่า GDP อาจเพิ่มช้าลงเทียบจากประมาณการครั้งก่อนโดยคาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 3.0% ในปี 2565 ส่วนในปี 2566 จะเติบโตเพียง 2.5% จึงต้องใช้เวลานานกว่าเดิมกว่าจะกลับสู่ช่วงก่อน COVID-19 ระบาด

โออีซีดีและเอดีบีเห็นพ้องเศรษฐกิจโลกจะยังฟื้นตัวช้า ส่วนจีนยังไม่สามารถช่วยกระตุ้นการเติบโตในส่วนอื่นของโลกได้ องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (โออีซีดี) ปรับประมาณการเศรษฐกิจโลกในปี 2563 โดยคาดว่าจะหดตัว -4.5% เทียบกับครั้งก่อนที่มองว่าหดตัว -6.0% ขณะที่ธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) คาด GDP ของภูมิภาคเอเชียในปีนี้จะลดลง -0.7% (เดิมคาดเติบโตเล็กน้อย 0.1%) สำหรับเศรษฐกิจไทยอาจจะหดตัวถึง -8.0% ส่วนจีนคาดว่าจะยังขยายตัว 1.8% สอดคล้องกับเครื่องชี้ของเศรษฐกิจจีนล่าสุดยังสะท้อนการฟื้นตัวต่อเนื่อง อาทิ ยอดค้าปลีกเดือนสิงหาคมที่กลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือนที่ 0.5% YoY ส่วนดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัว 5.6% ปรับดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5
แม้โออีซีดีจะปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจโลกในปี 2563 แต่ยังมีมุมมองเชิงลบรวมทั้งคาดว่าการฟื้นตัวจะเป็นไปอย่างช้าๆ ในรูปตัว L ส่วนเอดีบีคาดว่าเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียจะหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 60 ปี และต้องใช้เวลานานกว่าจะกลับไปสู่ระดับก่อน COVID-19 แพร่ระบาด สำหรับการฟื้นตัวของจีนนั้นมีแนวโน้มว่ายังคงไม่สามารถช่วยกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากการนำเข้าในเดือนสิงหาคมที่หดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่สอง

ธนาคารกลางอังกฤษอาจใช้นโยบายดอกเบี้ยติดลบรับมือกับความเสี่ยงจาก No-deal Brexit ธนาคารกลางอังกฤษ (บีโออี) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายพร้อมทั้งวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายทางการเงินที่ระดับ 7.45 แสนล้านปอนด์ ขณะที่ยังมีความเสี่ยงเพิ่มเติมหากอังกฤษต้องแยกตัวจากสหภาพยุโรปโดยปราศจากข้อตกลงหลังสภาสามัญชนลงมติผ่านวาระที่ 2 ของร่างกฎหมาย Internal Market Bill ที่มีเนื้อหาที่ขัดต่อข้อตกลงแยกตัว ซึ่งจะกระทบต่อการเจรจากับสหภาพยุโรป
วิจัยกรุงศรีมองว่ามีความเป็นไปได้ที่บีโออีจะเพิ่มการผ่อนคลายทางการเงินเชิงปริมาณ (QE) ในระยะต่อไป เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอน โดยคาดว่าอัตราการว่างงานอาจพุ่งขึ้นจาก 3.9% ในเดือนกรกฎาคมเป็น 8.5% ในเดือนเมษายนปี 2564 หลังจากมาตรการเยียวยาแรงงานที่ถูกเลิกจ้างสิ้นสุดลงในเดือนตุลาคมนี้ นอกจากนี้ บีโออียังส่งสัญญาณเปิดทางที่จะใช้อัตราดอกเบี้ยติดลบเพื่อรับมือกับความเสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้นจาก No-deal Brexit


ทางการเห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ช่วยพยุงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในไตรมาสสุดท้ายของปี
มาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายวงเงิน 5.1 หมื่นล้านบาท ทยอยเข้าสู่ระบบเดือนตุลาคมนี้ ล่าสุดทางการเห็นชอบ 2 โครงการสนับสนุนการบริโภคในประเทศได้แก่ (i) โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจำนวน 14 ล้านคน โดยจะเพิ่มวงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นให้อีก 500 บาท/คน/เดือน เป็นเวลา 3 เดือน (เดือนตุลาคมถึงธันวาคม) วงเงินรวม 2.1 หมื่นล้านบาท และ (ii) โครงการคนละครึ่ง โดยรัฐจะร่วมจ่าย (Co-pay) 50% สูงสุดไม่เกิน 100 บาท/คน/วัน เพื่อซื้อสินค้ากับร้านค้า หาบเร่ แผงลอย โดยให้สิทธิจำนวน 10 ล้านคน คนละไม่เกิน 3,000 บาท ใช้วงเงินทั้งสิ้น 3 หมื่นล้านบาท เริ่มวันที่ 23 ตุลาคม ถึง 31 ธันวาคม 2563
มาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายผ่าน 2 โครงการข้างต้นวงเงินรวม 5.1 หมื่นล้านบาท ถือเป็นมาตรการที่จะช่วยหนุนการบริโภคภายในประเทศและช่วยเพิ่มกำลังซื้อได้บางส่วนให้กับผู้มีรายได้น้อยและประชาชนทั่วไปรวมแล้วจำนวน 24 ล้านคน ประกอบกับก่อนหน้านี้ รัฐบาลได้อนุมัติมาตรการจ้างงานนักศึกษาจบใหม่ วงเงินกว่า 2.3 หมื่นล้านบาท ปัจจัยบวกจากมาตรการระยะสั้นเหล่านี้จะช่วยประคับประคองการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้บ้าง ขณะที่วิจัยกรุงศรีคาดว่ายังคงมีความเสี่ยงที่แรงงานประมาณ 11.8 ล้านคนอาจที่ถูกลดเงินเดือนหรือตกงานท่ามกลางความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกที่ยังมีจำนวนผู้ติดเชื้อโรค COVID-19 เพิ่มขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง และปัจจัยภายในประเทศของสถานการณ์ชุมนุมทางการเมือง

มาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายวงเงิน 5.1 หมื่นล้านบาท ทยอยเข้าสู่ระบบเดือนตุลาคมนี้ ล่าสุดทางการเห็นชอบ 2 โครงการสนับสนุนการบริโภคในประเทศได้แก่ (i) โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจำนวน 14 ล้านคน โดยจะเพิ่มวงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นให้อีก 500 บาท/คน/เดือน เป็นเวลา 3 เดือน (เดือนตุลาคมถึงธันวาคม) วงเงินรวม 2.1 หมื่นล้านบาท และ (ii) โครงการคนละครึ่ง โดยรัฐจะร่วมจ่าย (Co-pay) 50% สูงสุดไม่เกิน 100 บาท/คน/วัน เพื่อซื้อสินค้ากับร้านค้า หาบเร่ แผงลอย โดยให้สิทธิจำนวน 10 ล้านคน คนละไม่เกิน 3,000 บาท ใช้วงเงินทั้งสิ้น 3 หมื่นล้านบาท เริ่มวันที่ 23 ตุลาคม ถึง 31 ธันวาคม 2563
มาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายผ่าน 2 โครงการข้างต้นวงเงินรวม 5.1 หมื่นล้านบาท ถือเป็นมาตรการที่จะช่วยหนุนการบริโภคภายในประเทศและช่วยเพิ่มกำลังซื้อได้บางส่วนให้กับผู้มีรายได้น้อยและประชาชนทั่วไปรวมแล้วจำนวน 24 ล้านคน ประกอบกับก่อนหน้านี้ รัฐบาลได้อนุมัติมาตรการจ้างงานนักศึกษาจบใหม่ วงเงินกว่า 2.3 หมื่นล้านบาท ปัจจัยบวกจากมาตรการระยะสั้นเหล่านี้จะช่วยประคับประคองการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้บ้าง ขณะที่วิจัยกรุงศรีคาดว่ายังคงมีความเสี่ยงที่แรงงานประมาณ 11.8 ล้านคนอาจที่ถูกลดเงินเดือนหรือตกงานท่ามกลางความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกที่ยังมีจำนวนผู้ติดเชื้อโรค COVID-19 เพิ่มขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง และปัจจัยภายในประเทศของสถานการณ์ชุมนุมทางการเมือง

ความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมทยอยฟื้นต่อเนื่อง ขณะที่วิจัยกรุงศรีคาดภาคธุรกิจต้องการสภาพคล่องราว 2.3 ล้านล้านบาท ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนสิงหาคมปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 สู่ระดับ 84.0 จาก 82.5 เดือนก่อน ผลจากการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการผ่อนคลายมาตรการทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศสามารถกลับมาดำเนินการได้ตามปกติ อย่างไรก็ตาม แม้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นแต่ยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 100 และต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดการระบาด เนื่องจากผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่ายและมีความกังวลเกี่ยวภับภาวะเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง ขณะที่ SMEs ประสบปัญหาสภาพคล่องและการเข้าถึงสินเชื่อ และจากการศึกษาของวิจัยกรุงศรีพบว่าภาคธุรกิจต้องการสภาพคล่องราว 2.3 ล้านล้านบาท เพื่อให้สามารถนำไปชำระหนี้ได้ภายในปี 2564 โดยจำแนกเป็น บริษัทขนาดใหญ่ 0.6 ล้านล้านบาท บริษัทขนาดกลาง 0.38 ล้านล้านบาท และบริษัทขนาดเล็ก 1.34 ล้านล้านบาท ส่วนสาขาที่ต้องการมากสุด ได้แก่ ธุรกิจค้าส่งค้าปลีก ธุรกิจผลิตอาหาร และดีลเลอร์
